ประวัติศาสตร์เกาหลี ” เกาหลีในช่วงอลหม่าน ค.ศ. 1864-1953 “

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ ประวัติศาสตร์เกาหลี หรือกำลังเรียนในสาขาประวัติศาตร์ รัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนเรศวร ขอแนะนำหนังสือใหม่ “เกาหลีในช่วงอลหม่าน ค.ศ. 1864-1953 : การรุกรานจากต่างชาติ การตกเป็นอาณานิคม การแบ่งแยก และสงครามเกาหลี” เป็นผลงานของเล่มล่าสุดของ ผศ.ดร.วิเชียร อินทะสี อาจาร์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคม มหาวิทยาลัยนเรศวร

ประวัติศาสตร์เกาหลี


1.
บทนำ

ในช่วงที่ญี่ปุ่นใกล้ยอมจำนนในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกา และสหภาพโชเวียตได้ตกลงกันในการแบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ส่วน เพื่อการปลดอาวุธ ทหารญี่ปุ่นในดินแดนเกาหลี และเมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้ส่งทหารเข้าไปปฏิบัติภารกิจดังกล่าว โดยถือเอา เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งภารกิจ แต่เนื่องจากการมุ่งขยายอิทธิพลของมหาอำนาจ ทั้งสอง ในยุคที่การเมืองโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลี ต้องถูกแบ่งแยกอย่างถาวร เมื่อเกาหลีส่วนใต้ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ สหรัฐอเมริกา ในการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น ได้สถาปนาสาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea-ROK) หรือเกาหลีใต้ขึ้นใน ค.ศ. 1948 และเกาหลีส่วนเหนือซึ่งสหภาพโซเวียตเป็น ผู้รับผิดชอบ ในการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น ก็ได้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนเกาหลี (Democratic’s People Republic of Korea-DPRK) หรือเกาหลีเหนือ ขึ้นในปีเดียวกัน ความแตกต่างด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และสังคม กอปรกับการแข่งขันขยายอำนาจระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต ได้เป็นปัจจัย ผลักดันให้ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีทั้งสองมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดังการเกิด สงครามเกาหลี (Korean War) ระหว่าง ค.ศ. 1950-1953 ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการสู้รบ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้เท่านั้น แต่ยังมีมหาอำนาจและประเทศอื่น ๆ ที่สนับสนุน เกาหลีแต่ละฝ่ายส่งทหารเข้าร่วมรบด้วย

ประวัติศาสตร์เกาหลี

2.เกาหลีกับการรุกรานจากต่างชาติ ช่วง ค.ศ. 1864-1910

อาณาจักรโชซอนโบราณมีอำนาจอยู่ระหว่าง 400-300 ปี ก่อนคริสตกาล ก่อนการถูกรุกรานโดยอาณาจักรเยน (ven) ซึ่งเป็นอาณาจักรของ ชนเชื้อชาติจีน ที่ครอบครองพื้นที่ทางตะวันตกของแม่น้ำเหลียว ถัดจากนั้นมาขุนนาง ไพร่พล และประชาชนของโคโชชอนได้ก่อตั้งอาณาจักรวีมันโชชอน (Wiman Choson) ขึ้นในบริเวณเดียวกัน แต่ถูกพวกจีนฮั่น (Han China) รุกรานและตีแตกในราว 108 ปี ก่อนคริสตกาล พร้อมจัดตั้งเขตการปกครองขึ้น โดยมีอาณาบริเวณอยู่ทางตอนเหนื่อ ของคาบสมุทรเกาหลี ภายหลัง ค.ศ. 313 จีนฮั่นเสื่อมอำนาจลง ทำให้ดินแดนตกอยู่ ภายใต้การยึดครองของอาณาจักรโคกูรยอ (Koguryo) สำหรับพื้นที่ทางส่วนใต้ ของคาบสมุทรเกาหลี เป็นที่ตั้งอาณาจักรของพวกจิน (Chinguk) แต่เมื่อเกิดการอพยุพ ของผู้คนจากอาณาจักรโชชอนโบราณ ดินแดนเหล่านี้มีการจัดระเบียบทางการเมือง และสังคม ดังที่รู้จักกันในชื่ออาณาจักร 3 ฮัน
(Sar Han or Three Hans) แต่เมื่อถึง ค.ศ. 369 อาณาจักร 3 ฮันก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรแพ็กเจ (Paekche)

ประวัติศาสตร์เกาหลี

3. เกาหลีสมัยเป็นอาณานิคมญี่ปุ่น

การดำเนินการของญี่ปุ่นสมัยยืดครองเกางสีเป็นอานานิคม เมื่อญี่ปุ่นผนวกเกาหลีเข้าเป็นส่วนหนึ่งแล้ว ก็ได้ดำเนินมาตรการหลายอย่าง เพื่อเป็นหลักประกันว่า ญี่ปุ่นสามารถปกครองดินแดนเกาหลีได้อย่างราบรื่น และในขณะ เดียวกัน เกาหลีสามารถเป็นแหล่งสนับสนุนด้านทรัพยากรและกำลังคน ในการพัฒนา เศรษฐกิจและการขยายอำนาจทางการเมืองและการทหรของญี่ปุ่นในช่วงระยะเวลา ถัดไป สำหรับนโยบายและมาตรการที่ญี่ปุ่นได้นำมาใช้ ในช่วงปกครองเกาหลีเป็น อาณานิคมระหว่าง ค.ศ. 1910-1945 ขอนำเสนอดังนี้ การจัดระเบียบทางการปกลรอง ญี่ปุ่นได้จัดตั้งสำนักงานผู้สำเร็จราชการแห่งโขซอน (Government-General of Choson) ขึ้นที่กรุงโซล เพื่อเป็นองค์กรหลักในการปกครองเกาหลี โดยผู้ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการคัดเลือกจากนายทหาร ที่ดำรงตำแหน่งนายพลหรือนายพลเรือ มีขอบเขต อำนาจหน้าที่อย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และการบัญชาการ กองทัพ โดยปฏิบัติหน้าที่ขึ้นตรงต่อจักรพรรดิญี่ปุ่น

ประวัติศาสตร์เกาหลี

4. การแบ่งแยกเกาหลี และการสถาปนาเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้

การแบ่งแยกเกาหลี ความพ่ายแพ้นองญี่ปุ่นในลงครามโลกครั้งที่ 2 และ การสั้นสุดการยืคลรองเกาหสีฆองญี่ปุ่น เนื้อหาในส่วนนี้ขอกล่าวถึงสาระสำคัญโดยสรุปเกี่ยวกับการขยายอิทธิพล ของญี่ปุ่นในจีน การเข้าสู่สงครามแปซิฟิก (Pacific War) และสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการยึดครองเกาหลี และความพ่ายแพ้ของ ญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกาหลีหลุดพันจากการเป็น อาณานิคม ดังที่กล่าวมาแล้วว่า เป้าหมายที่ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลีเป็นอาณานิคม ก็เพื่อประโยชน์ในการเป็นแหล่งอาหาร วัตถุดิบ ตลาดสินค้า และด้านความมั่นคง และเมื่อญี่ปุ่นขยายอิทธิพลเข้าสู่จีน ก็ได้ใช้ประโยชน์จากเกาหลีเป็นฐานสนับสนุนภารกิจ ดังกล่าว

ประวัติศาสตร์เกาหลี

5. สงครามเกาหลี

ภายหลังจากญี่ปุ่นยุติการยึดครองเกาหลี เนื่องจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลก ครั้งที่ 2 การแข่งขันเพื่ออำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองในเกาหลี และการแข่งขันระหว่าง หาอำนาจในการขยายอิทธิพลและแสวงหาผลประโยชน์ ได้ทำให้เกาหลีต้อ เกาหลีส่วนเหนือและเกาหลีส่วนใต้ และในเวลาต่อมาเกาหสีทั้ง 2 ส่วน ได้สถาปนาระบอบ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของตนขึ้น สอดคล้องตามอุดมการณ์และแนวทาง ของมหาอำนาจที่ให้การหนุนหลัง แต่เนื่องจากรัฐบาลในเกาหสีเหนือและเกาหสีใต้ ต่างก็อ้างว่า ฝ่ายตนเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมของประชาชนเกาหลี กอปรกับความขัดแย้ง ระหว่างสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งระหว่างเกาหสีทั้งสองจึงปะทุขึ้น เป็นสงครามระหว่างกันในช่วง ค.ศ. 1950-1953 สงครามเกาหลี (Korean War) เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงราว 5 ปี อันเป็นช่วงการเมืองโลกอยู่ในยุคต่งครามเย็น โดยเป็นการแข่งขันขยายอำนาจระหว่ ง ค่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำ กับค่ายเสรีซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา สงครามเกาหลีจึงเปรียบได้กับสงครามตัวแทน (proxy war) โดยเกาหลีเหนือเป็นตัวแทน ของสหภาพโซเวียตและจีน และเกาหลีใต้เป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ในระหว่าง สงครามเกาหลี สหภาพโซเวียตและจีนจึงแสดงบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ เกาหลีเหนือ ส่วนสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเกาหลีใต้ ลักษณะ เช่นนี้ถือเป็นเหตุผลประการสำคัญว่า ทำไมสงครามเกาหลีจึงไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็น ฝ่ายชนะในสงคราม และทำไมคู่กรณีในสงครามเกาหลี จึงยังไม่สามารถบรรลุความตกลง ในการทำสนธิสัญญาสันติภาพ เพื่อยุติสงครามอย่างเป็นทางการ

ประวัติศาสตร์เกาหลี

6. บทสรุป

อนการก่อตั้งอาณาจักรโครยอ (Koryo) ใน ค.ศ. 935 ดินแดนบนคาบสมุทร เกาหลีประกอบด้วยอาณาจักรต่าง ๆ ดังในสมัย 3 อาณาจักรที่ประกอบด้วยโคกูรยอ (Koguryo) ซิลลา (Silla) และแพ็กเจ (Paekche) ต่อมาเมื่อเข้าสู่สมัยอาณาจักรโครยอ ต้องถือว่าดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีได้เข้ามาอยู่ภายใต้กษัตริย์องค์เดียว โครงสร้าง ทางการเมืองการปกครองเริ่มมีความชับซ้อน ขุนนางในราชสำนักและหัวเมืองถือเป็น กลุ่มที่มีอำนาจ และสามารถท้าทายอำนาจของกษัตริย์ ษัตริย์จึงต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ในการลดอำนาจของขุนนาง ส่วนฝ่ายขุนนางพยายามสร้างอิทธิพลต่อกษัตริย์ ดังการให้ บุตรสาวอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ ต่อมาในปลายทศวรรษที่ 1380 อาณาจักรโครย เริ่มเสื่อมอำนาจลง เมื่อผู้นำฝ่ายทหารยึดอำนาจจากกษัตริย์ และได้สถาปนาตนเองขึ้น เป็นกษัตริย์ใน ค.ศ. 1392 และก่อตั้งราชวงศ์โชซอน (Choson Dynasty) สมัยราชวงค์โชซอน การถ่วงดุลอำนาจกับขุนนางถือเป็นสิ่งที่กษัตริย์ต้องให้ ความสำคัญ เพราะในบางรัชกาลการเมืองภายในราชสำนักมีขุนนางฝ่ายญาติมเหสีเข้ามา เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการแต่งตั้งขุนนางดำรงตำแหน่งสำคัญ ฉะนั้น ขุนนางตระกูลใด ที่มีอำนาจจึงต้องสร้างฐานอำานาจไว้ให้มั่นคง ถ้ากษัตริยองค์ไหม่ขั้นปกครองและมีมเห มาจากตระกูลอื่น การเปลี่ยนแปลงอำนาจย่อมเกิดขึ้น นอกจากนั้น ความมั่งคั่งจากการ ถือครองที่ดินและกำลังคนก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มอำนาจให้แก่ขุนนาง ในช่วงปลายสมัยโชชอน การเมืองภายในราชสำนักนับว่าสร้างความสั่นคลอนให้แก่ อาณาจักร โดยเฉพาะความขัดแย้งในรัชกาลพระเจ้าโคจง (Kojong) อันเป็นโอกาสให้ ต่างชาติเข้าแทรกแซง ทั้งที่ช่วงดังกล่าวเกาหลีต้องเผชิญภัยคุกคามจากชาติตะวันตก และอาณาจักรเพื่อนบ้าน อันเป็นภัยคุกคามที่เกาหลืต้องดำเนินวิเทโศบายในการจัดการ